Thursday, February 12, 2009

ประตูระหว่างสวรรค์กับนรก

หมายเหตุ –
บทความนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลแต่ประการใด ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และ เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบขับถ่ายของร่างกาย

ปัญหาเรื่องการจราจรในกรุงเทพฯ นั้นเป็นปัญหาที่คนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้อย่างมีสันติ (ในจิตใจ) เป็นเรื่องปกติของเมืองหลวง ซึ่งแทบจะเป็นที่รวมของทุึกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ ธุรกิจ และสถาบันการศึกษา

ในช่วงที่เรียนและทำงานนั้น ชีวิตของผมตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนมีเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ด้วยสภาพการจราจรของกรุงเทพฯ ด้วยเหตุที่บ้านอยู่ชานเมือง ทำให้ต้องตื่นเช้ามาก และเช้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุของผมที่เพิ่มขึ้น เพราะว่ารถติดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนที่ไม่อยากเจอรถติดต้องออกมาให้เช้าขึ้น

สถิติล่าสุดของผมก็คือตื่นประมาณ 4.45 น. และออกเดินทางจากบ้านที่อยู่ชานเมืองฝั่งธนบุรี เวลาประมาณ 5.20 น. เพื่อไปที่ทำงานซึ่งอยู่ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ เวลาที่ใช้เดินทาง ณ ช่วงเวลาดังกล่าวคือประมาณ 30 นาที เพราะว่ารถสามารถใช้ความเร็วได้ดี ไม่มีการหยุดนิ่งยาวๆ ไปถึงแล้วผมก็จะนอนอยู่ในรถ เจ็ดโมงกว่าก็ตื่นไปทานข้าวเช้า ด้วยสภาพที่เสื้อยับยู่ยี่ ผมกระเซิง

บ่นไปมากมายเกี่ยวกับปัญหาการจราจรของกรุงเทพฯ ผมเคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย วันนั้นออกจากบ้านค่อนข้างสาย รถก็เลยติดมาก จากบ้านไปมหาวิทยาลัยใช้เวลาสองชั่วโมงได้ และเนื่องด้วยออกจากบ้านผิดเวลา มันก็เลยทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายรวนไปหมด (เป็นข้อสันนิษฐานส่วนตัว)

ประมาณ 1 – 2 กม. ก่อนจะถึงมหาวิทยาลัย ผมก็รู้สึกปวดท้องอย่างมาก ไม่ใช่ปวดท้องแบบโรคกระเพาะแต่อย่างใด มันคือ ปวดอุจจาระ ด้วยอัตราเร็วของรถที่น้อยกว่า 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมคิดว่าผมไม่สามารถอดกลั้นไปจนถึงมหาวิทยาลัยได้ ความคิดแวบแรกของผม คือ คงต้องหาปั๊มน้ำมันที่อยู่ระหว่างทางนั่นแหละ

ทว่าปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดก็ดันอยู่เกือบถึงมหาวิทยาลัยแล้ว เวร... แผนสองที่คิดได้ก็ คือ หาร้านเซเว่น แต่ว่าร้านเซเว่นที่ไหนจะปล่อยให้คนเข้าไปใช้ห้องน้ำฟะ หรือจะเป็นบ้านคน ใครที่ไหนจะยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาอึในบ้านวะเนี่ย ช่วงนี้ความคิดในสมองเริ่มตีกันอย่างหนัก พร้อมกับมือที่สั่น เกร็ง และรู้สึกหนาวขึ้นเรื่อยๆ แม้จะปิดแอร์ไปแล้ว

เมื่อพยายามกลั้นใจคิดหาทางออก ก็คิดว่าทางที่ดีที่สุดคือปั๊มน้ำมันนี่แหละ แต่ว่าคงต้องใ้ช้ความพยายามในการอดกลั้นให้ถึงที่สุด แต่ว่ามันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าเป็นตอนปวดฉี่มันคงไม่ยากขนาดนี้ ถ้ากลั้นไม่ไหว ในรถก็ยังพอมีขวดน้ำให้ใช้บรรเทาความเสียหายไปได้ หรือถ้าเลวร้ายที่สุดคือฉี่ราดกางเกง ก็คงจะลงทุนไปซื้อน้ำซักขวดแล้วเอามาราดกางเกง (ถ้าจะให้เนียนมากก็ใช้เก๊กฮวย) แล้วบอกเืพื่อนว่าน้ำหก แล้วชวนมันไปซื้อกางเกงที่่มาบุญครอง แต่ถ้าเป็นอึแตกนี่ ไม่อยากจะคิดเลย คงต้องขับรถกลับบ้านสถานเดียว ขืนเดินลงไปหาเพื่อนไม่มีคนคบแน่ๆ ความเสียหายสูงมาก ขับรถมามหาลัยเพื่ออึแตกแล้วขับกลับบ้านเพื่อไปซักกางเกง ... บอกได้คำเดียวว่าซวย

พออีกประมาณ 500 เมตรจะึถึงปั๊มน้ำมัน ก็เริ่มมีอาการหน้ามืด เหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง ไม่ว่าจะพยายามบิดตัวไปมาอย่างไรก็ไม่เป็นผล สภาพผมเหมือนกับจะิสิ้นสติไปแล้ว เรีียกได้ว่าอยู่ขั้นตรีทูต ที่วิญญาณจะออกจากร่าง จากนั้นผมก็เริ่มมองเห็นภาพของกรรมที่เคยทำไว้เมื่อครั้งอดีต ภาพตอนสมัยประถมที่ล้อเพื่อนที่อึราดกางเกงก็โผล่ขึ้นมา นอกจากจะล้อแล้วยังไปบอกครูอีก ทำไม่เราเป็นคนเลวได้ขนาดนี้วะเนี่ย อีกเรื่องก็คือไปล้อเพื่ิอนที่อึราดขณะทำกิจกรรมกันอยู่ที่โรงเรียนตอนมัธยม ซึ่งมันนั่งอยู่ข้างหน้าผมพอดีและผมก็เห็นเหตุการณ์ตอนมันลุกขึ้นวิ่งไปห้องน้ำได้อย่างชัดเจน พร้อมหลักฐานที่กองอยูตรงหน้า .... ตอนนี้เหมือนประตูนรกกำลังจะเปิดเพื่อต้อนรับผมแล้ว เหมือนในสมัยพุทธกาลที่มีคนฆ่าหมูชื่อนาย จุนทสูกริก ซึ่งนิยมฆ่าหมูด้วยวิธีทรมาน เมื่อตอนก่อนจะตายก็ร้องครวญครางเหมือนหมูที่ตัวเองฆ่าไม่มีผิด

เพื่อน ... กูขอโทษมึงว่ะ กูรู้แล้วว่าการกลั้นอึจนถึงที่สุดมันทรมาณอย่างไร กูไม่น่าไปล้อมึงเลย เหมือนว่าเจ้ากรรมนายเวรจะยอมรับคำขอโทษจากผม ก่อนที่สติของผมจะหลุดลอยไปนั้น ผมก็ขับมาถึงทางเข้าปั๊มน้ำมันพอดี ทว่าปั๊มน้ำมันก็ไม่มีที่จอด ... เวร ก็เลยขับไปจอดตรงตู้จ่ายแล้วบอกว่าเต็มถังเลย ทั้งที่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมีเงินเท่าไหร่ในกระเป๋า แต่ทำไงได้ไม่มีเวลาคิดแล้ว หลังจากนั้นก็คว้าทิชชู่แล้ววิ่งไปห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนั้นอย่าให้สะดุดหรือชนอะไรซักอย่างนะ มีเฮแน่ๆ ทำให้ผมได้รู้ซึ้งในตอนนั้นว่า ชีวิตของคนเราบางช่วงมันเปราะบางจริง ... อืมมม

นับว่าโชคชะตาไม่โหดร้ายกับผมจนเกินไป ยังมีห้องน้ำว่างอยู่ ตอนนั้นไม่ได้ดูเลยว่าห้องน้ำสกปรกมากขนาดไหน ... ภารกิจจบลงอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่ผมก้าวขาออกมาจากห้องน้ำนั้นเหมือนออกจากนรกมาสู่สวรรค์ก็ไม่ปาน ท้องฟ้าดูสดใส อากาศสดชื่นแม้ว่าจะอยู่ในปั๊มน้ำมัน รู้ซึ้งได้ทันทีว่าทำไมจึงเีรียกห้องน้ำว่า “สุขา” ประตูสุขาเป็นประตูที่กั้นระหว่างสวรรค์กับนรกจริงๆ

ขอบคุณ
  • การจราจรของกรุงเทพฯ ที่ทำให้ผมได้สัมผัสอีกแง่มุมของชีวิตที่หวังว่าจะไม่เจออีก
  • ปั๊มน้ำมันบนถนนพระรามที่ 4 ก่อนถึงสามย่าน เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่าย (ทำ)

Quote of the day
“ถ้าอยู่ดีๆ คุณรู้สึกตัวว่าอยู่ในห้องที่เป็นสีแดงทั้งห้อง ไม่ต้องตกใจหรอก มันคือหัวใจของผมเอง” (นำมาจากโพสต์หนึ่งในห้องหว้ากอ พันทิป)


(เขียนเมื่อ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๐)

No comments:

Post a Comment