Thursday, February 12, 2009

อยากมีโกดังเก็บของเก่า

ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเป็นกันบ้างหรือเปล่า เวลาที่รู้สึกอยากค้นของเก่าๆ ขึ้นมาดู แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามันคงไม่อยู่แล้ว เพราะว่ามันเก่าเก็บจนทิ้งไปแล้ว มันมีความเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เศร้าเล็กๆ ไม่มีอะไรมากมาย
ไม่กี่ปีก่อนอยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกอยากหาสมุดการบ้านสมัยประถมขึ้นมาดู อยากรู้ว่าตอนนั้นเรียนอะไร เขียนอะไร ลายมือเป็นอะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าคงเอามันทิ้งไปหมดแล้วล่ะ มันสิบกว่า เกือบจะยี่สิบปีแล้วคงจะไม่เหลือมาถึงตอนนี้แน่ๆ

ที่บ้านผม พ่อกับแม่จะนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนิสัยการเก็บของ แม่จะเป็นคนที่เก็บทุกอย่างไว้หมด เก็บทุกอย่างจริงๆ ทั้งของใช้ และก็ของกิน โดยเฉพาะของกิน บางทีพี่สาวต้องแอบเอาออกจากตู้เย็นไปทิ้ง คือเก็บไว้ก็ไ่ม่ได้กิน จะทิ้งก็เสียดาย คือพอทิ้งไปแม่ก็ไม่รู้ตัวหรอกนะ เรียกว่าเก็บจนลืม บางทีก็คิดว่าค่าไฟที่ต้องเปิดตู้เย็นเพื่อเก็บของมันคงจะเกินมูลค่าของที่เก็บไปแล้วล่ะ ตอนนี้ที่บ้านมีตู้เย็นอยู่สามตู้ ตู้เล็กๆ อีกตู้นึง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเต็มอยู่ตลอดเวลา ส่วนเรื่องเอกสารแม่ก็จะเก็บทุกอย่าง เก็บอย่างละเอียด ขนาดสมุดพก ของลูกทุกคนตั้งแต่อนุบาลหนึ่งก็ยังเก็บไว้

ส่วนพ่อก็จะมีนิสัยอีกอย่างหนึ่งคือชอบรื้อของออกมาจัด และก็เก็บทิ้งไป โดยเฉพาะของที่ไม่ได้ใช้แล้ว เรียกว่ามีคอยสร้างสมดุลของการเก็บของในบ้านไม่ให้มัน มีมากจนเกินไป เพราะว่าที่ในบ้านหลายส่วนก็ใช้ไปเพื่อการเก็บของเท่านั้น ใช้ประโยชน์อะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก

ส่วนตัวผมเองก็จะมีนิสัยไม่แน่นอนเรื่องการเก็บของ บางอารมณ์ก็อยากเก็บหลายๆ อย่างเอาไว้ บางอารมณ์ก็เก็บทิ้งไปบ้าง ตอนนี้ของสมัยประถมมัธยมก็เหลือไม่มาก ของที่เก็บสมัยประถมแทบจะไม่มีแล้วมั้ง ของมัธยมก็มีอยู่บ้างส่วนใหญ่ก็เป็นรูปถ่าย เสื้้อที่เพื่อนๆ เขียนตอนวันจากเหย้า (วันที่พวก ม.หก เรียนจบ แต่ผมสอบเทียบออกไปก่อน ตอนนั้นเลยอยู่ปีหนึ่ง) ของสมัยเรียนมหาลัยก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน รูปคงมีอยู่หลายร้อยได้ นอกจากนั้นก็เป็นของจุกจิกอื่นๆ

สำหรับตอนนี้ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ถ้าทำได้ผมอยากสร้างโกดังใหญ่ๆ ไว้สักที่นึงไว้เก็บของเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ทั้งหมด รู้สึกเสียดายเหมือนกันจากความรู้สึกที่เคยอยากทำให้ห้องมันเรียบร้อยโดยทิ้งของไปหลายอย่าง ซึ่งจะเรียกว่าเป็นขยะก็ไม่ถูกนัก เพราะของเก่าพวกนี้มันความทรงจำฝังอยู่ สำหรับผมถ้าสิ่งที่จะทิ้งเป็นขยะ มันคือของที่ไม่มีความทรงจำต่อมันเหลืออยู่แล้ว ผมจึงทิ้งมันอย่างขยะ

ผมมาลองคิดดูว่า ถ้าตั้งแต่อนุบาล ผมเก็บทุกอย่าง (ที่เป็นสิ่งของ) ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ไม่ว่าจะเป็นสมุดการบ้าน หนังสือเรียน สมุดคัดไทย สมุดวาดเขียน ของเล่น หนังสือการ์ตูน ต่างๆ นานา (วันก่อนดูตัวอย่างหนัง Transformers ก็จำได้ว่าเราเคยมีนี่หว่าไอ้หุ่น Optimus Prime เพราะป๋าเคยซื้อมาให้ตอนเด็กๆ ไอ้รถบรรทุกแดงๆ ที่แปลงร่างได้อ่ะ) เลยจินตนาการดูว่าเราต้องใช้โกดังใหญ่ขนาดไหนเนี่ยถึงจะเก็บสิ่งของในความทรงจำได้หมด คงต้องเป็นโกดังที่ใหญ่มากๆ

ของหลายๆ อย่างที่ทิ้งไป หรือให้คนอื่นไปก็เสียดายมากนะ พวกของเล่นและก็หนังสือ โดยเฉพาะของเล่นที่เป็นสังกะสี ของพี่ชายและพี่สาว ก็ไม่ได้คิดอยากเก็บไว้เพื่อจะขายต่อให้ได้ราคา แต่อยากเก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลานดู ไม่ใช่ดูจากพิพิธภัณฑ์อย่างเดียว (เห็นที่คุณเอนก นาวิกมูล เก็บของเก่าแล้ว บางทีเราก็อยากเก็บบ้าง) และที่สำคัญมันเป็นของเก่าที่มีความทรงจำ ฝังอยู่ข้างใน

ความรู้สึกที่อยากจะเก็บของเก่าของผมนี้มันไม่ใช้แค่การเก็บเพื่อถวิลหาถึงอดีต (Nostalgia) แต่ว่าเป็นการเก็บความทรงจำที่สมองมันไม่มีที่พอที่จะเก็บ หรือเก็บอยู่แต่ไฟล์มันลึกลงไปมากจนเรียกขึ้นมาไม่ได้ ถ้าถามทุกๆ คนดูว่า จำอะไรตอนอยู่ ป. หนึ่ง ได้บ้าง มันยากมากนะ ที่จะย้อนความจำลงไปถึงตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะเก็บเป็นสิ่งของแต่่มันก็ไม่ได้คลุมถึงความทรงจำทุกๆ อย่าง เพราะความทรงจำบางอย่างมันก็ไม่ได้ติดกับสิ่งของ (บางทีก็อยู่ในรูปแผลเป็น แต่ก่อนนี่ซนมากแผลเต็มตัว ตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้ว) แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ปะติดปะต่อความทรงจำได้

แม้ว่าสมัยนี้จะเก็บของต่างๆ ไว้ได้ในรูปของไฟล์คอมพิวเตอร์ (รูปถ่า่ย วีดีโอ) แต่สำหรับผมของเหล่านี้ก็ดีนะ แต่มันไม่มีกลิ่นของความทรงจำเท่าไหร่ อีกอย่างหนึ่งที่เก็บความทรงจำได้ดีก็คือ การเขียนไดอารี่ แต่ต้องเป็นคนที่สม่ำเสมอถึงจะทำได้ดี

ถ้าลองจินตนาการดูว่า เรามีลูกซักคน แล้วก็เก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาเอาไว้ตั้งแต่เกิด เรียงเป็นลำดับ ตามอายุ ผมว่ามันก็คงจะดี แม้ว่าปีแรกๆ ที่เก็บมันอาจดูไม่มีค่าเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าคิดดูว่าผ่านไป ซักห้าปี สิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี มันจะดีขนาดไหนที่เราจะย้อนกลับมาดูมาสัมผัสมัน แม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตในปัจจุบันมาก แต่ว่าผมว่าโกดังเก็บของนั้นคงเป็นมุมสงบที่ดึงให้เราอยู่ที่นั่นได้ทั้งวันทีเดียว เรียกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของครอบครัวได้เลย พิพิธภัณฑ์ที่มีแต่เรื่องของ เรา ครอบครัวเรา

ถ้ามีโกดังเป็นสัดเป็นส่วนแยกจากที่พักอาศัยก็คงทำให้เราเก็บของได้มากและไม่กระทบกับชีวิตปัจจุบัน เพราะถ้าเก็บของเก่าที่ไม่ได้ใช้ให้มันปะปนกับชีวิตประจำวันมันก็คงไม่ดี และเกะกะเปล่าๆ เพราะยังไงเราก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน แต่ของเก่าและความทรงจำมันก็มีไว้เหมือนเป็นมุมเงียบๆ ที่ไว้ทบทวนเพื่อพัฒนาตัวเองและิอิ่มเอิบกับความหลังที่มีทั้งความสุขและความเ้ศร้า ....

(เขียนเมื่อ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๐)

2 comments:

  1. คิดว่ามีอีกหลายคนที่มีความคิดแบบเดียวกันค่ะ ยิ่งปัจจุบันมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างไปจากเดิม เช่นอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ไม่สามารถเก็บของเก่าๆ ที่มีไว้สำหรับชื่นชมได้ทั้งหมด
    โกดังน่าจะเป็นทางออกที่ดีค่ะ คุณหาโกดังในฝันได้หรือยังคะ?

    ReplyDelete
  2. ตอนนี้ยังไม่มีครับ
    แต่อนาคตวางแผนว่าคงจะมีแน่ๆ แต่คงไม่ใช่ในกรุงเทพฯ เพราะที่ทางคงหายากและมีราคาแพง
    ถ้าจัดสรรเงินได้มากพอ คงจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ของครอบครัว
    (ฝันอีกแล้ว)

    ปล.ขอบคุณสำหรับความเห็น และยินดีที่ได้คุยกันผ่านตัวหนังสือ

    ReplyDelete