Friday, October 23, 2009

ค่า (คร่า) ชีวิต

ช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจในประเทศไทย ซึ่งหลายๆ คนมีความเชื่อว่ากินเจแล้วจะได้บุญ สำหรับผมก็เฉยๆ สำหรับเรื่องนี้ กินก็ได้ไม่กินก็ได้ อะไรอร่อยก็กินได้หมด ช่วงกินเจก็ดีอย่างนึงคือได้กินผักมากขึ้น ส่วนเรื่องหนึ่งที่หงุดหงิดใจในช่วงเทศกาลกินเจเวลาที่อยู่ที่เมืองไทยก็คือว่า อาหารเจแพง (มาก) ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องกลไกตลาดมีคนโหมกินกันมากๆ ราคาก็สูงขึ้นเป็นธรรมดา ส่วนอีกปัจจัยที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การขายของที่เกี่ยวกับศรัทธาความเชื่อของคนนั้นมันได้กำไรงามนักแล (ดิน + มวลสารอะไรซักอย่าง ยังขายได้ราคามากกว่าต้นทุนเป็นพันเป็นหมื่นเท่า)

ได้อ่านประเด็นเรื่องการกินเจตามเวบบอร์ดก็ได้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่าง ประเด็นที่อ่านเจอก็เช่น กินเจได้บุญจริงหรือเปล่า ลดการฆ่าสัตว์ได้จริงๆ หรือไม่ ทำไมทานหอยนางรมได้ ในโค๊กมีส่วนผสมจากสัตว์หรือเปล่า (อันนี้น่าสนใจนะเพราะส่วนผสมของโค๊กเป็นความลับระดับโลก อาจมีส่วนผสมที่มาจากสัตว์ก็ได้) ถ้าพืชส่งเสียงร้องได้เราจะกินมันหรือเปล่า อะไรเทือกๆ นี้

อ่านไปก็สนุกดี แต่ที่พอจะสรุปสั้นๆ ได้ ก็คือ หนึ่ง จะทำอะไรก็ทำไปเถิดถ้ามันทำแล้วสบายใจไม่เดือดร้อนใคร (มาตรฐานบุญหรือบาปบางทีมันก็ขึ้นกับความคิดของเราเอง) สอง อย่าผูกขาดความดีไว้กับตัวเอง อย่าเอาความดีไปข่มใคร และอย่าหลงความดี ความดีเก็บไว้เป็นศรีแ่ก่ตัว เหมือนกางเกงในจำเป็นต้องมีไว้ แต่ไม่จำเป็นต้องโชว์ ไ่ม่ต้องอ้างความดีเพื่อกดให้คนอื่นต่ำลง และสิ่งสุดท้ายก็คือ ความเชื่อใครความเชื่อมัน เชื่อไม่เหมือนกันก็อย่ามาว่ากันและคนอื่นไม่ผิดถ้าเขาเชื่อไม่เหมือนเรา ไม่งั้นเถียงกันไปร้อยชาติก็ไม่จบ

ส่วนเรื่องหนึ่งที่อยู่ในใจก็คือ เรื่องคุณค่าของชีวิต สิ่งมีชิวิตแต่ละชนิดมีคุณค่าเท่ากันหรือไม่ ทำไมบางทีคนเราทำประหนึ่งว่า การคร่าชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดบาปน้อยกว่าการคร่าชีวิตของอีกชีวิต (คำว่าบาปความจริงก็ต้องนิยามนะว่ามันเป็นยังไง)

ยกตัวอย่างเช่น เคยคุยกับแฟนว่าอยากกินเนื้อเปื่อย แฟนก็บอกว่าใจร้าย กินสัตว์ใหญ่ ก็เลยโต้ตอบกันไปมา ผมก็บอกว่าตัวใหญ่ก็ดีนะ ชีวิตเดียวกินได้ตั้งหลายคน ลองกินกุ้งปลากว่าจะอิ่มก็หมดไปหลายตัว น้ำปลาขวดนึงเนี่ยใช้ปลาเป็นร้อยๆ ตัวได้มั้ง จำได้ว่าบทสนทนาเรื่องนี้จบลงด้วยการเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่งั้นคงจะเถียงกันไปยาว

บางคนก็บอกว่ากินสัตว์ใหญ่บาปมาก เพราะมันรู้เรื่องและมีความคิด ถ้าใช้ตรรกะแบบกำปั้นทุบดินก็แปลว่า กินสัตว์รู้มาก มีความคิดมาก บาปมาก ซึ่งถ้าอย่างนั้นผมเผลอไปกินกุ้งแสนรู้ ปูแสนฉลาด ปลาผู้อารีย์ ผมก็คงบาปมากกว่ากินกุ้ง ปู ปลาทั่วไป (แต่่ก็ว่าเถอะตอนผมดูหนังเรื่อง Babe จบใหม่ๆ นี่กินหมูไม่ลงไปเป็นวันๆ หรือเวลาที่เห็นวัวถูกบรรทุกพาไปโรงฆ่ามันก็ทำให้จิตตกไปพักหนึ่งเหมือนกัน)การวัดระดับของบาปของคนเรามันคงอยู่ที่ว่าการคร่าชีวิตสิ่งไหนมันทำให้จิตใจเศร้าสร้อยไ้ด้มากกว่ากัน

ถ้าเอาเรื่องบุญบาปกับการกินสัตว์ใหญ่มาโน้มน้าวผมคงไม่ได้ผลเท่าไหร่ ถ้าเป็นเหตุผลเรื่องสุขภาพอาจได้ผลมากกว่า อย่างเช่น (เขา)ว่ากินสัตว์ใหญ่เยอะๆ ไม่ดี จะทำให้ร่างกายมีสารพิษสะสมเยอะ อันนี้ก็อาจเป็นไปได้เพราะว่าสัตว์ใหญ่มีอายุยาวกว่า การสะสมสารพิษจากสิ่งแวดล้อมก็น่าจะมีมากกว่าสัตว์เล็กๆ

จริงๆ แล้วสิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีค่าเท่าๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นหมีแพนด้า หนูนา หรือแมลงสาป ทุกตัวมีสิทธิ์อยู่บนโลกนี้เท่าๆ กัน อย่างไรก็ตามระดับบาปหรือความไม่สบายใจของคนเราคงต่างกัน อย่างเช่น เผลอไปเหยียบแมลงสาปตายกับเผลอไปขับรถชนสุนัข อย่างหลังคงทำให้ไม่สบายใจไปหลายเดือน

นานมาแล้วเคยอ่านการ์ตูนสั้นๆ เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของพระญี่ปุ่นที่ไปเจอผีเสื้อติดอยู่ที่ใยแมงมุม พระรูปนี้สงสารก็เลยช่วยผีเสื้อให้บินหนีไปได้ ขณะนั้นเองในมโนจิตของพระรูปนั้นก็ได้ยินเสียงจากแมงมุมพูดขึ้นว่า ทำไมท่านไปช่วยผีเสื้อตัวนั้นล่ะ นั่นคืออาหารของข้า และข้าจะเอาอะไรกิน ก็มีการพูดจาโต้ตอบไปมาระหว่างพระกับแมงมุม

ขณะนั้นเองก็มีนกตัวหนึ่งบินมา และก็จับแมงมุมไปกิน พระก็ตะลึงแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร แมงมุมก็ถูกนกกินไป หลังจากนั้นพระก็เกิดมโนภาพเห็นแมงมุมตัวยักษ์กล่าวกับพระอย่างโกรธแค้นว่า เพราะรูปลักษณ์ของแมงมุมน่าเกลียดใช่ไหม ทำให้พระไม่สนใจที่จะช่วยเหลือ ดังนั้นข้าก็จะล้างแค้นโดยการกินพระรูปนั้นเป็นอาหาร ขณะที่แมงมุมใช้ใยจับพระอยู่นั้น พระก็อยู่ในความกลัวสุดขีดออกจากภวังค์ เห็นผีเสื้ออยู่ติดอยู่ที่ใยแมงมุม กลับไปยังจุดเริ่มต้น แต่ว่าคราวนี้พระรูปนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ปล่อยให้ผีเสื้อถูกกินไป

ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะบอกถึงจิตสำนึกลึกๆ ของมนุษย์บางส่วนที่ประเมินชีวิตอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอก เลือกที่จะชอบสิ่งทีน่ารักและเกลียดสิ่งที่ดูน่าเกลียด ซึ่งมันก็ปกติ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราควรจะทำคือ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ทำลายสิ่งที่เราเกลียด เลือกรักษาไว้แต่สิ่งมีชีวิตที่เราชอบ หรือให้ประโยชน์กับเราได้ เพราะในธรรมชาติแล้วทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน มีวงจรชีวิตอย่างเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ และตาย

ก็มีแง่คิดจากการ์ตูนอีกเรื่อง คือ Mushishi เป็นเรื่องของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่คล้ายๆ แมลง ดำรงชีวิตด้วยการเป็นปรสิตในร่างกายมนุษย์ และก่อให้เกิดอาการแปลกๆ ต่างๆ นานา ซึ่งตัวเอกของเรื่องเป็นคนที่สามารถกำจัดปรสิตเหล่านี้ได้ มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมากที่ตัวเอกของเรื่องพูดว่า “การที่ปรสิตเบียดเบียนชีวิตเรา ไม่ใช่เรื่องที่ผิด มันทำไปก็เพราะความอยู่รอด ส่วนเรื่องที่เราจะกำจัดมันจากร่างกายเราก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราก็ทำเพื่อความอยู่รอดของเราเช่นกัน”

ก็คงพอสรุปได้ว่า ถ้าต้องคร่าชีวิตเพื่อเป็นอาหารก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และควรกินด้วยความเคารพคุณค่าของเพื่อร่วมโลกในห่วงโซ่อาหาร ไม่กินทิ้งขว้าง วิธีการคร่าชีวิตก็ควรทำโดยไม่ให้ทรมานมาก และไม่ควรเลยที่จะคร่าชีวิตอื่นเพื่อความสนุก

1 comment:

  1. very good article and great writing krub P'Tah.. may I be your fan? :)

    N'Jojo

    ReplyDelete